วันอังคารที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2555

Audio-Technica แนะนำหูฟัง ATH-M50s Limited Edition 50th Anniversary

Audio-Technica แนะนำหูฟัง ATH-M50s Limited Edition 50th Anniversary

ในวงการผู้ที่ชื่นชอบเสียงดนตรีด้วยแล้ว คงไม่มีใครไม่รู้จักหูฟัง Audio-Technica จากญี่ปุ่นที่ปัจจุบัน เป็นแบรนด์ที่รู้จักทั่วโลกมานานกว่า 50 ปี Audio-Technica ก่อนหน้านี้ได้ออกรุ่นพิเศษต่างๆเพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี และถูกจับจองจนหมดอย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่ถึง 2 วัน และ ATH-M50 ซึ่งเป็นรุ่นยอดนิยมก็อดไม่ได้ที่จะผลิตรุ่นพิเศษขึ้นมาชื่อรุ่น ATH-M50s/LE หรือ ATH-50th Anniversary Limited Edition ความพิเศษก็คงหนีไม่พ้นสีของตัวหูฟังที่ต่างจากรุ่นก่อนๆที่ใช้สีเมทัลลิกตัดกับสีฟ้าอ่อน ที่ตัวหูฟังสลักคำว่า Anniversary 50th Since 1962 และจำนวนผลิตที่นำเข้ามาในไทยเพียง 30 ตัวเท่านั้น
Audio-Technica แนะนำหูฟัง ATH-M50s Limited Edition 50th Anniversary

ติดต่อ:
บริษัท ดิจิตคอนโทรล จำกัด ผู้ได้รับสิทธิ์นำเข้าแบรนด์ Audio-Technica แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อ (+66) 2-715-0860, (+66) 2-715-0888
Facebook : www.facebook.com/AudioTechnica.Thailand

10 เครื่องดื่มที่มีประโยชน์ที่สุดในโลก



นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแองเจลิส จัดอันดับ 10 เครื่องดื่มที่มีประโยชน์ที่สุดในโลก โดยดูที่ระดับสาร แอนติออกซิแดนต์ หรือสารต้านอนุมูลอิสระ
ปัจจุบันมีเครื่องดื่มหลายชนิดอ้างว่า ใส่สารต้านอนุมูลอิสระไว้ แต่หลายคนไม่ทราบว่าสารนี้คืออะไรกันแน่ สำหรับสารต้านอนุมูลอิสระ มีประโยชน์เนื่องมาจากในขบวนการปฏิกิริยาชีวเคมี ที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย จะมีการขับของเสียที่ร่างกายได้รับ ได้แก่ ควันบุหรี่ แอลกอฮอล์ รังสียูวี เอกซเรย์ 
ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นอนุมูลอิสระที่มีอันตรายต่อเซลล์ในร่างกาย ที่อาจส่งผลให้เกิดโรคมะเร็ง โรคหัวใจ ภาวะข้อต่ออักเสบ ต้อกระจก และการเสื่อมของอวัยวะต่างๆ อนุมูลอิสระจะทำลายเนื้อเยื่อเซลล์ เปลี่ยนแปลงโครงสร้างของดีเอ็นเอ
ด้วยเหตุ นี้จึงเป็นการเพิ่มความเสี่ยงของการมีเซลล์มะเร็ง และทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีที่นำไปสู่ขบวนการเกิดโรคมะเร็ง

สำหรับ 10 อันดับเครื่องดื่มที่มีประโยชน์มากที่สุด คือ
 1. น้ำทับทิม
 2. ไวน์แดง
 3. น้ำองุ่นคอนคอร์ด
 4. น้ำบลูเบอร์รี่
 5. น้ำแบล็กเชอร์รี่
 6. น้ำอะซาอี
 7. น้ำแครนเบอร์รี่
 8. น้ำส้ม
 9. น้ำชา
 10. น้ำแอปเปิ้ล - ปราฟดา

วันพุธที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2555

7 วิธีใช้คอมฯ แบบทำร้ายตัวเอง



สำหรับคนที่อยู่ดีไม่ว่าดี ชอบหาเรื่องแผลงๆ มาทดลองด้วยไม่เห็นค่าของความ ‘อโรคยา’ เราก็มีวิธีง่ายๆ มาสนองเจตนารมย์ค่ะ
       วิธีเหล่านี้ง่ายมาก สามารถทำได้โดยใช้คอมพิวเตอร์ธรรมดานี่แหละเป็นอุปกรณ์ แล้วก็ไม่เสียเวลามากด้วย เพราะเราสามารถบั่นทอนสุขภาพของตัวเองไปพร้อมๆ กับที่นั่งทำงานได้เลย เห็นมั้ยคะว่าสะดวกแค่ไหน ค่อยๆ ทำตามกันไปทีละข้อนะคะ
     วิธีที่ 1 ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ จอ เพราะระยะห่างที่ปลอดภัยระหว่างดวงตาของเรากับจอคอมพิวเตอร์อยู่ที่ 20-24 นิ้ว ดังนั้นถ้าเรายื่นหน้าเข้าไปให้ใกล้กว่านั้น ดวงตาเราก็จะได้รับทั้งรังสีปริมาณมาก และได้เพ่งจอใกล้ๆ ด้วย ผลที่จะได้ระยะสั้นคือปวดหัว ปวดตา ส่วนระยะยาวคืออาจจะเป็นต้อหินและตาบอดได้ในที่สุดค่ะ

     วิธีที่ 2 ตั้งจอให้แสงสะท้อนเข้าตา พยายามหันหน้าจอให้มีแสงจ้าๆ สะท้อนเข้าตาเรา เช่น วางจอไว้ใกล้หน้าต่างตอนกลางวัน หรือตั้งโคมไฟไว้ใกล้ๆ หน้าจอ เพราะแสงที่สะท้อนออกมาจากจอคอมพิวเตอร์สามารถทำให้ดวงตาของเราเมื่อยล้าได้ง่ายๆ สมใจค่ะ

     วิธีที่ 3 จ้องจอนานๆ พยายามจ้องจอคอมพิวเตอร์ให้มากกว่าครั้งละ 30 นาที ถ้าเริ่มรู้สึกปวดตาเมื่อไหร่แสดงว่าใช้ได้แล้ว เพราะนั่นหมายถึงดวงตาเริ่มล้าแล้ว ทำบ่อยๆ คุณภาพตาจะแย่ลงเรื่อยๆ ถ้าไม่กระพริบตาเลยจะยิ่งดี เพราะจะทำให้ตาแห้ง แล้วก็แสบตาในที่สุด ส่วนแผนกระจกกรองแสงถ้ามีก็ถอดออกเสีย เพราะจะเป็นการกรองรังสีจากจอ ดวงตาจะปลอดภัยเกินไปค่ะ

     วิธีที่ 4 นั่งให้ผิดท่า ชุดเก้าอี้และโต๊ะที่ใช้ถ้าหาแบบที่ต่างระดับกันได้มากๆ จะทำให้ท่านั่งผิดสุขลักษณะ ซึ่งจะส่งผลเสียโดยตรงต่อกล้ามเนื้อกับกระดูกที่แขน ไหล่ หลัง และคอ และเราสามารถเพิ่มระดับความอักเสบของกล้ามเนื้อให้มากขึ้นด้วยการนั่งที่ผิดท่า นั่นก็คือเวลาใช้คอมพิวเตอร์อย่านั่งหลังตรง ให้นั่งค้อมไปข้างหน้าบ้าง แอ่นไปข้างหลังบ้าง

     วิธีที่ 5 วางคีย์บอร์ดให้ผิดทาง เวลาพิมพ์งานลองหามุมวางคีย์บอร์ดแล้วทำให้ต้องวางมือยากๆ ควรวางข้อมือบนโต๊ะหน้าคีย์บอร์ดถ้าหากจำเป็น การพิมพ์ก็ให้กดแป้นพิมพ์ควรกดแป้นพิมพ์แรงๆ เพราะเมื่อทำต่อเนื่องไปนานๆ จะเมื่อยและเจ็บนิ้ว และยังของแถมคือคีย์บอร์ดจะเจ๊งเร็วขึ้น เก้าอี้ที่ใช้ให้เลือกใช้แบบที่ไม่มีที่ให้วางแขน เพื่อที่แขนจะได้เกร็ง เมื่อเกร็งมากๆ ก็จะเมื่อยแขน ปวดไหล่ ปวดนิ้ว ลามไปถึงคอและหลังได้ด้วย

     วิธีที่ 6 กินขนมหน้าคอมฯ ให้หาขนมมากินขณะที่ใช้คอมพิวเตอร์ไปด้วย เพราะมีโอกาสที่เศษขนมหรือเกล็ดน้ำตาลจะหล่นลงไปในแป้นคีย์บอร์ด แล้วกลายเป็นอาหารของแบคทีเรีย ซึ่งถ้าเราใช้คีย์บอร์ดสลับกับกินขนมครั้งแบบนี้อีก เราอาจจะโชคดีได้ท้องเสีย เพราะ นิ้วของเราย่ำยีอยู่กับแหล่งเพาะเชื้อตลอดเวลานั่นเอง

     วิธีที่ 7 แช่แข็งตัวเองอยู่หน้าจอ พยายามหาเรื่องอะไรมาทำให้ตัวเองเพลินๆ จะได้นั่งอยู่หน้าเครื่องนานๆ จะได้ลืมให้หมดว่าการที่ไม่เปลี่ยนอิริยาบถนานๆ จะทำให้กล้ามเนื้อส่วนต่างๆ เครียดจนเมื่อยจนปวด จะได้ลืมว่าควรกินน้ำชั่วโมงละ 1 แก้ว จะได้ลืมว่าถ้าปวดฉี่แล้วไม่ยอมไปห้องน้ำจะทำให้กระเพาะปัสสาวะอักเสบ

         แค่คุณทำตาม 7 วิธีนี้ก็เชื่อว่าสุขภาพคุณคงจะย่ำแย่ลงได้บ้างล่ะค่ะ ถ้าอยากเจ็บป่วยแบบไหนก็เลือกกันตามอัธยาศัยเลยค่ะ เมื่อสุขภาพแย่ลงการทำงานก็จะแย่ลงไปด้วย และในที่สุดชีวิตคุณก็จะอับเฉาลงเรื่อยๆ ด้วย 7 วิธีนี้เราหวังว่าคุณจะสมหวังค่ะ แต่ถ้าจะให้ดีที่สุดสำหรับตัวเองแล้ว ไม่ทำ อย่าง 7 ข้อข้างต้นดีที่สุด

8 วิธีอ่านหนังสือสอบได้อย่างเซียน

เมื่อ ลองย้อนเวลากลับไปในสมัยที่เรียนอยู่ ช่วงเวลาที่น่าเบื่อที่สุดคือ ช่วงเวลาแห่งการท่องตำราสอบ ไม่ว่าจะเรียนอยู่ในระดับไหนก็หลีกเลี่ยงการท่องตำราสอบกันไม่ได้ทั้งนั้น เคยเป็นไหมที่รู้สึกว่า อยากให้มีเวลาเยอะกว่านี้ เพื่อจะได้อ่านหนังสือสอบให้ทัน วันนี้เราจึงรวบรวมเทคนิคการอ่านให้ได้ประสิทธิภาพ ที่คิดว่าพอจะแก้ปัญหาเกี่ยวกับการอ่านมานำเสนอ ดังนี้
1. หัดให้ตัวเองมีวินัยให้ได้ คือ ถ้าเราวางแผนว่าจะอ่านหนังสือให้ได้เท่านี้สำหรับวันนี้ เราก็ต้องทำให้ได้ วิธีฝึกเริ่มแรกให้กำหนดง่ายๆ ก่อนว่า วันนี้เราจะอ่านตำราแค่ 1 บท หรือ 10 หน้า เป็นต้น เอาแค่นี้ให้ได้ ถ้าอ่านจบเร็วก็ไปทำอย่างอื่น พอวันต่อๆ ไปก็ค่อยๆ เพิ่มปริมาณขึ้นตามสมควร แล้วก็ต้องอ่านให้ได้ตามเป้าหมาย เมื่อเราอ่านได้ตามเป้าแล้วในแต่ละครั้งก็อย่าลืมให้รางวัลตัวเองด้วยทุก ครั้ง โดยรางวัลก็อาจจะเป็นอะไรง่ายๆ เช่น ได้ดูละครหนึ่งเรื่องตอนกลางคืน เป็นต้น
2. วางแผนการอ่านหนังสือ เมื่อเรามีวินัยและเคารพการวางแผนของตัวเองแล้ว ต่อไปก็ต้อง วางแผนการอ่านหนังสือ การวางแผนที่ดีนั้นสำคัญมาก เพราะทำให้เราเดินไปถูกทิศทาง การวางแผนไม่ถือเป็นการเสียเวลา แต่เป็นการประหยัดเวลาในระยะยาว เพราะไม่ต้องไปเสียเวลาเดินผิดทาง
3. อย่าตะบี้ตะบันอ่านเกินควร อย่าคิดว่าตัวเองเป็น superman คือ สามารถอ่านหนังสือได้เยอะเกินกำลังภายในเวลาอันสั้น อย่าวางตารางการอ่านให้แน่นเกินไป เพราะนอกจากจะทำไม่ได้ตามแผนอยู่แล้ว ยังทำให้ตัวเองเครียดเพราะแผนนั้นโดยไม่จำเป็นด้วย แรกๆ อาจจะกะความสามารถตัวเองยากหน่อย หรือการอ่านตำราภาษาอังกฤษกับภาษาไทยก็ใช้ระยะเวลาการอ่านไม่เท่ากัน ก็ใช้เก็บสถิติจากการอ่านในรอบแรกๆ เช่น การอ่านภาษาอังกฤษ 1 หน้า เราใช้เวลา 10 นาที เราก็จะประมาณถูกว่าต้องใช้เวลาเท่าไรจึงจะอ่านจบบทหรือจบวิชา เป็นต้น
4. หาที่อ่านที่สงบเงียบและนั่งสบาย ส่วนบรรยากาศก็แล้วแต่คนชอบ บางคนชอบอ่านที่บ้าน ในห้องสมุด ในสวนมีต้นไม้เขียวๆ หรือในร้านกาแฟ หรือบางทีเราก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ แต่ควรไม่อยู่ใกล้ทีวี หรือสิ่งต่างๆ ที่ทำให้เราเสียสมาธิ เพราะทำให้เราเสียเวลาในการอ่าน และทำให้จำได้ไม่ดีด้วย แต่ก็ทราบมาว่าบางคนจะชอบให้มีเสียงเพลงหรือเสียงอื่นๆ เวลาอ่านหนังสือด้วย อันนี้ก็แล้วแต่ความชอบ
5. อย่าให้สิ่งใดมารบกวนการอ่าน เวลาอ่านหนังสือ เราควรกำหนดว่า เวลานี้เราจะตั้งใจ และไม่ปล่อยให้อะไรมาขัดโดยไม่จำเป็น เช่น อาจจะปิดเสียงโทรศัพท์มือถือ เป็นต้น คนอื่นก็จะไม่มารบกวนโดยไม่จำเป็น การได้ทำงานหรืออ่านหนังสือเป็นช่วงเวลาติดต่อกันอย่างนี้มีประสิทธิภาพกว่า การอ่านที่ถูกหยุดด้วยสิ่งต่างๆ
6. พักผ่อนสมองบ้าง เมื่ออ่านหนังสือไปนานๆ เราก็จะเริ่มล้า ทั้งสมองที่ต้องคิด ทั้งร่างกายที่ไม่ได้ขยับ ทั้งสายตาที่ต้องจ้องอยู่นาน เราก็ควรกำหนดเวลาพัก อันนี้ก็แล้วแต่คนชอบ อาจจะพักอ่านหนังสือทุกๆ ชั่วโมงหรือ 2 ชั่วโมง โดยออกไปเดินยืดเส้นยืดสาย ดื่มน้ำ ทานขนม หรือไปมองต้นไม้เขียวๆ เวลาพักก็ต้องกำหนดด้วยว่า 5 นาที หรือ 15 นาที เป็นต้น
7. ชอบขีดเส้นหรือเน้นข้อความที่สำคัญในหนังสือโดยไม่หวงหนังสือว่าจะดูเลอะเทอะเลย เพราะชอบเวลากลับมาอ่านทวน เราก็จะรู้ว่าจุดไหนเป็นข้อมูลสำคัญ เรายังสามารถใช้ทบทวนก่อนสอบได้ด้วย สำหรับคนที่ชอบหนังสือใหม่ๆ เกลี้ยงๆ ก็อาจจะต้องหาสมุดกับปากกามาจดสิ่งที่สำคัญจากหนังสือนั้นๆ เพื่อการอ่านทบทวนได้
8. พยายามจัดเวลาอ่านหนังสือในช่วงเวลาที่เราตื่นตัวที่สุด อันนี้แตกต่างกันไป บางคนจะจำได้ดีถ้าอ่านตอนเช้า บางคนเป็นตอนเย็น ก็ต้องสังเกตตัวเองดู ถ้าทราบแล้วอาจจะกำหนดเป็นเวลาประจำทุกวัน เช่น ทุกวันเวลา 2 ทุ่ม - 5 ทุ่ม เราต้องอ่านตำราทบทวนที่เรียนมา เป็นต้น
อย่าลืมทบทวนตำราเรียนทุกวันนะคะ แล้วเอาเทคนิคทั้ง 8 ไปใช้ดู เผื่อประสิทธิภาพในการอ่านจะทำให้เกรดภาคเรียนต่อไปดีขึ้นทันตาก็ได้

วันอังคารที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ครูที่ดี


       คนใจแคบเท่านั้นคิดว่าครูคือแม่พิมพ์ครูคือผู้ให้คำตอบที่ศิษย์ต้องการครูที่ดีชี้และช่วยให้ศิษย์รู้จักตัวของศิษย์ความรู้ทางวิชาการทั้งสิ้นนั้นเป็นเพียงสื่อที่จะนำไปถึงเป้าหมายนี้เท่านั้นเพื่อการพัฒนาชีวิตของศิษย์แล้วครูไม่ควรข่มขู่และหลอกล่อเพื่อให้ศิษย์หวาดกลัวและลุ่มหลงตัวครูไม่ใช่ปูชนียบุคคลความเป็นปูชนียบุคคลของครูเกิดอยู่ในการกระทำที่ชอบธรรมของครูใช่แต่ศิษย์เท่านั้นที่ต้องเคารพครู  ครูที่ดีก็ต้องเคารพศิษย์ด้วยจริงใจ....

ใจเขาใจเรา


อยู่ในสังคมมนุษย์สิ่งที่ต้องระวังไม่ใช่มนุษย์เสมอไปใจที่เห็นแก่ตัวของเรานั่นแหละ
คือสิ่งที่ควรระมัดระวังให้มากเมื่อการกระทำต้องเกี่ยวพันกับผู้อื่นไม่ต้องเอาใครไปใส่ใจใครอย่าเอาเปรียบเขาก็พอเมื่อมิได้คำนึงถึงสวัสดิภาพของตนเองแต่ก็ต้องระมัดระวังสวัสดิภาพของผู้อื่นเราไม่โกรธ เราไม่กลัว เราไม่เจ็บแต่ผู้อื่นอาจจะโกรธ อาจจะเจ็บ และอาจจะกลัวถึงคราวที่จำเป็นต้องกระทำแล้วก็ลงมือกระทำด้วยสติปัญญาเถิดไม่ต้องมัวไปคำนึงถึงใจเรา ใจเขาหรือแม้แต่ใจใครทั้งสิ้น

ความไว้ใจ

มีเพื่อนรักอยู่ 3 คน คือ ความหวัง ความรัก และ ความไว้วางใจ 

ความหวัง ได้บอกกับเพื่อนทั้ง 2 ว่า .... ถ้าหากฉันหายไป .... 
เพียงพวกเธอใช้เวลาจุดไฟแห่งความหวังขึ้นมา ฉันก็จะกลับมา!!!! 

ส่วนความรัก บอกกับเพื่อน ว่า .... ถ้าหากฉันหายไป .... 
เธออาจต้องใช้เวลานานเพื่อ "รอ" ฉันสักสักหน่อย แล้วฉันจะกลับมา!!! 

ส่วนความไว้ใจ บอกกับเพื่อนทั้ง 2 ว่า หากฉันหายไป....... 
ไม่ต้องรอฉันนะ เพราะพวกเธอจะไม่มีวันได้พบฉันอีกเลย!!!!! 

แม้ ความหวัง ความมุ่งมั่นมานะ จะหมดหรือดับไป........ 
คุณยังอาจจุดประกายแห่งความมุ่งมั่นนั้นได้!!!! --- 
ขอเพียงคุณมีแรงดลใจ 
หรือ แม้คุณอกหักหรือผิดหวัง แต่ความรักก็ยังพร้อมจะเกิดขึ้นใหม่ 
และเจริญงอกงามต่อไปได้เสมอ 

แต่ .... "ความไว้วางใจ" นั้น .... 
เป็นพื้นฐานของความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับบุคคลอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น 
พ่อ แม่ ลูก คนรัก เพื่อน หัวหน้า หรือ ลูกน้อง --- 
ถ้าหากคุณสูญเสียความไว้ใจที่มีต่อบุคคลนั้นไป......