วันเสาร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2555

คาดไอโฟนใหม่เปิดตัว 12 ก.ย.นี้


ไอที-นวัตกรรม

วันที่ 16 สิงหาคม 2555 10:43

คาดไอโฟนใหม่เปิดตัว 12 ก.ย.นี้


บล็อกดังปลุกกระแสไอโฟนใหม่เผยโฉม 12 ก.ย.ก่อนวางตลาดจริง21ก.ย.ส่วนตลาดนอกสหรัฐเริ่มดีเดย์ ต.ค. ทั้งคาดส่ง "ไอแพด มินิ" สู้ศึกแทบเล็ตรุ่นเล็ก
สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นรายงานว่า กระแสข่าวแพร่สะพัดล่าสุดเกี่ยวกับการเปิดตัวไอโฟนรุ่นใหม่ผ่านบล็อก "ไอมอร์ (iMore)" เป็นสื่อแรกที่เผยข้อมูลว่าแอ๊ปเปิ้ล อิงค์ เตรียมเปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นยอดนิยมของโลก วันที่ 12 ก.ย.นี้ พร้อมเปิดให้สั่งจองล่วงหน้าในวันดังกล่าว ก่อนจะวางตลาดจริงอีก 9 วันถัดมา หรือวันที่ 21 ก.ย.ที่จะถึง
โดยที่ผ่านมารายงานจากบล็อกดังกล่าวได้คาดการณ์วันเปิดตัวไอโฟนที่ถูกต้อง ขณะที่บล็อกอีกหลายแห่งก็โพสต์ข้อมูลโดยอ้างแหล่งข่าวของตัวเองเช่นกันว่า วันที่ 12 ก.ย.นี้มีแนวโน้มว่าจะเป็นวันเปิดตัวไอโฟนรุ่นใหม่จริง
บล็อกไอมอร์ยังระบุอีกว่า การเปิดตัวไอโฟนในตลาดยุโรปและตลาดนอกสหรัฐจะเริ่มต้นตั้งแต่สัปดาห์แรกของเดือน ต.ค. ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 5 ต.ค.นี้
อย่างไรก็ตามกระแสข่าวเกี่ยวกับไอโฟนรุ่นถัดไปส่วนใหญ่เป็นเรื่องของการคาดการณ์เกี่ยวกับคุณสมบัติใหม่ๆ ที่จะเพิ่มเข้ามา รวมถึงหน้าจอที่อาจมีขนาดใหญ่กว่าเดิมเล็กน้อย ช่องสำหรับเสียบชาร์จแบตเตอรี่ (dock connector) ให้เล็กกว่าเดิม และเทคโนโลยีเอ็นเอฟซี ที่จะทำให้ขาช้อปสามารถชำระเงินผ่านไอโฟนได้สะดวกมากขึ้น
นอกจากนี้ยังมีหลากหลายความเห็นที่อาจเป็นไปได้ว่า นายทิม คุก ซีอีโอคนปัจจุบันของแอ๊ปเปิ้ลจะเปิดตัว "ไอแพด มินิ" ในวันเดียวกันด้วย แม้ที่ผ่านมาจะไม่ปรากฏแผนดังกล่าวเพราะอดีตซีอีโอ นาย "สตีฟ จ็อบส์" เคยให้เหตุผลว่า แทบเล็ตขนาดเล็กไม่เหมาะสำหรับการใช้งาน แต่ก็มีผู้จับตาวิเคราะห์ว่าแนวคิดที่แอ๊ปเปิ้ลจะเปิดตัวไอแพดรุ่นเล็กอาจเป็นไปได้มากขึ้นเพื่อต้องการที่จะสู้กับคู่แข่งใหม่อย่าง "คินเดิล ไฟร์" ของอะเมซอนและ "เน็กซัส7" ของกูเกิล
ขณะที่ความเคลื่อนไหวในตลาดพบว่า สัปดาห์ที่ผ่านมาบนเว็บไซต์ "อีเบย์" มีรายงานผู้เข้ามาใช้บริการขายต่อสมาร์ทโฟนกันอย่างคึกคัก
ทั้งนี้หลังจากอีเบย์เริ่มเปิดฟีเจอร์ใหม่ "อินสแตนท์ เซล" ที่ให้สมาชิกเข้ามาเสนอราคาซื้อสินค้าต่อจากเจ้าของเดิมพบว่ามีผู้เข้ามาซื้อขายสินค้าประเภทโทรศัพท์สูงขึ้นถึง 70% ช่วงวันที่ 30 ก.ค.-1 ส.ค. หลังเกิดกระแสข่าวการเปิดตัวไอโฟนใหม่วันที่ 12 ก.ย.นี้

วันอาทิตย์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

9ก.ค.เซ็นรับ'แท็บเล็ต'ลอต2 อีกกว่า4แสนเครื่อง

Pic_274423

ไอซีที เตรียมเซ็นแท็บเล็ต ลอตสอง ยอด 403,941 เครื่อง พรุ่งนี้ (9 ก.ค.) ก่อนกระทรวงศึกษาธิการจะดำเนินการต่อไป...

นางจีราวรรณ บุญเพิ่ม ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือไอซีที กล่าวว่า วันพรุ่งนี้ (9 ก.ค.) กระทรวงไอซีทีจะลงนามสัญญาเพื่อจัดซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา หรือแท็บเล็ต ป.1 กับ บริษัท เสิ่นเจิ้น สโคป ไซแอนทิฟิก ดีเวลลอปเมนต์เพิ่มอีก จำนวน 403,941 เครื่อง ทั้งนี้ การอนุมัติครั้งนี้ จะทำให้เครื่องแท็บเล็ตที่ประเทศไทยจัดซื้อ มีจำนวนเกือบ 9 แสนเครื่องแล้ว จากที่จัดซื้อลอตแรกไป 4 แสนเครื่อง เมื่อเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา

ขณะที่แท็บเล็ตลอตแรกมาถึงประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 23 พ.ค.ที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบันรวมประมาณ 3 หมื่นเครื่องนั้น ทางคณะกรรมการตรวจรับที่มีนายสมบูรณ์ เมฆไพบูลย์วัฒนา เป็นประธาน ยังไม่สามารถตรวจรับได้เนื่องจากจำนวนการส่งมอบขณะนี้มีแค่ 3 หมื่นเครื่องเท่านั้น ซึ่งยังไม่ถึงจำนวนที่คณะกรรมการจะสามารถตรวจรับ จะลงนามตรวจรับได้ตามจำนวนที่กำหนดไว้ 35,000 เครื่อง ทั้งนี้ การส่งมอบลอตแรกจะทยอยจนครบ 4 แสนเครื่อง ในวันที่ 22 ส.ค.นี้ เนื่องจากติดปัญหาจากกระทรวงศึกษาธิการส่งคนไปตรวจเนื้อหาที่จะบรรจุในเครื่องแท็บเล็ตที่ประเทศจีนล่าช้า สำหรับโครงการแท็บเล็ตเด็ก ป.1 คณะรัฐมนตรี หรือ ครม.อนุมัติโครงการจัดซื้อจำนวน 1 ล้านเครื่อง ไม่เกินวงเงิน 3 พันล้านบาท โดยใช้งบประมาณของกระทรวงศึกษาธิการ โดยมอบหมายให้กระทรวงไอซีทีรับผิดชอบในการตรวจสเปก

อย่างไรก็ตาม การตรวจรับเครื่องด้วยวิธีสุ่มทดสอบตามมาตรฐาน MIL-STD-105E คือ แท็บเล็ต 100,000 เครื่อง สุ่มตรวจ 112 เครื่อง เมื่อส่งมาลอตละ 10,000 เครื่อง จะสุ่มตรวจแท็บเล็ตประมาณ 11-15 เครื่อง ส่วนสเปกของแท็บเล็ต ป.1 เป็นระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 4.0 หน่วยประมวลผล 1.2 กิกะเฮิรตซ์ หน่วยความจำหลัก 1 กิกะเฮิรตซ์ หน้าจอ 7 นิ้ว  มี 4 สี คือ แดง น้ำเงิน บรอนซ์เงิน และบรอนซ์ทอง ราคา 2,400 บาท

วันอังคารที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2555

Audio-Technica แนะนำหูฟัง ATH-M50s Limited Edition 50th Anniversary

Audio-Technica แนะนำหูฟัง ATH-M50s Limited Edition 50th Anniversary

ในวงการผู้ที่ชื่นชอบเสียงดนตรีด้วยแล้ว คงไม่มีใครไม่รู้จักหูฟัง Audio-Technica จากญี่ปุ่นที่ปัจจุบัน เป็นแบรนด์ที่รู้จักทั่วโลกมานานกว่า 50 ปี Audio-Technica ก่อนหน้านี้ได้ออกรุ่นพิเศษต่างๆเพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี และถูกจับจองจนหมดอย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่ถึง 2 วัน และ ATH-M50 ซึ่งเป็นรุ่นยอดนิยมก็อดไม่ได้ที่จะผลิตรุ่นพิเศษขึ้นมาชื่อรุ่น ATH-M50s/LE หรือ ATH-50th Anniversary Limited Edition ความพิเศษก็คงหนีไม่พ้นสีของตัวหูฟังที่ต่างจากรุ่นก่อนๆที่ใช้สีเมทัลลิกตัดกับสีฟ้าอ่อน ที่ตัวหูฟังสลักคำว่า Anniversary 50th Since 1962 และจำนวนผลิตที่นำเข้ามาในไทยเพียง 30 ตัวเท่านั้น
Audio-Technica แนะนำหูฟัง ATH-M50s Limited Edition 50th Anniversary

ติดต่อ:
บริษัท ดิจิตคอนโทรล จำกัด ผู้ได้รับสิทธิ์นำเข้าแบรนด์ Audio-Technica แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อ (+66) 2-715-0860, (+66) 2-715-0888
Facebook : www.facebook.com/AudioTechnica.Thailand

10 เครื่องดื่มที่มีประโยชน์ที่สุดในโลก



นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแองเจลิส จัดอันดับ 10 เครื่องดื่มที่มีประโยชน์ที่สุดในโลก โดยดูที่ระดับสาร แอนติออกซิแดนต์ หรือสารต้านอนุมูลอิสระ
ปัจจุบันมีเครื่องดื่มหลายชนิดอ้างว่า ใส่สารต้านอนุมูลอิสระไว้ แต่หลายคนไม่ทราบว่าสารนี้คืออะไรกันแน่ สำหรับสารต้านอนุมูลอิสระ มีประโยชน์เนื่องมาจากในขบวนการปฏิกิริยาชีวเคมี ที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย จะมีการขับของเสียที่ร่างกายได้รับ ได้แก่ ควันบุหรี่ แอลกอฮอล์ รังสียูวี เอกซเรย์ 
ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นอนุมูลอิสระที่มีอันตรายต่อเซลล์ในร่างกาย ที่อาจส่งผลให้เกิดโรคมะเร็ง โรคหัวใจ ภาวะข้อต่ออักเสบ ต้อกระจก และการเสื่อมของอวัยวะต่างๆ อนุมูลอิสระจะทำลายเนื้อเยื่อเซลล์ เปลี่ยนแปลงโครงสร้างของดีเอ็นเอ
ด้วยเหตุ นี้จึงเป็นการเพิ่มความเสี่ยงของการมีเซลล์มะเร็ง และทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีที่นำไปสู่ขบวนการเกิดโรคมะเร็ง

สำหรับ 10 อันดับเครื่องดื่มที่มีประโยชน์มากที่สุด คือ
 1. น้ำทับทิม
 2. ไวน์แดง
 3. น้ำองุ่นคอนคอร์ด
 4. น้ำบลูเบอร์รี่
 5. น้ำแบล็กเชอร์รี่
 6. น้ำอะซาอี
 7. น้ำแครนเบอร์รี่
 8. น้ำส้ม
 9. น้ำชา
 10. น้ำแอปเปิ้ล - ปราฟดา

วันพุธที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2555

7 วิธีใช้คอมฯ แบบทำร้ายตัวเอง



สำหรับคนที่อยู่ดีไม่ว่าดี ชอบหาเรื่องแผลงๆ มาทดลองด้วยไม่เห็นค่าของความ ‘อโรคยา’ เราก็มีวิธีง่ายๆ มาสนองเจตนารมย์ค่ะ
       วิธีเหล่านี้ง่ายมาก สามารถทำได้โดยใช้คอมพิวเตอร์ธรรมดานี่แหละเป็นอุปกรณ์ แล้วก็ไม่เสียเวลามากด้วย เพราะเราสามารถบั่นทอนสุขภาพของตัวเองไปพร้อมๆ กับที่นั่งทำงานได้เลย เห็นมั้ยคะว่าสะดวกแค่ไหน ค่อยๆ ทำตามกันไปทีละข้อนะคะ
     วิธีที่ 1 ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ จอ เพราะระยะห่างที่ปลอดภัยระหว่างดวงตาของเรากับจอคอมพิวเตอร์อยู่ที่ 20-24 นิ้ว ดังนั้นถ้าเรายื่นหน้าเข้าไปให้ใกล้กว่านั้น ดวงตาเราก็จะได้รับทั้งรังสีปริมาณมาก และได้เพ่งจอใกล้ๆ ด้วย ผลที่จะได้ระยะสั้นคือปวดหัว ปวดตา ส่วนระยะยาวคืออาจจะเป็นต้อหินและตาบอดได้ในที่สุดค่ะ

     วิธีที่ 2 ตั้งจอให้แสงสะท้อนเข้าตา พยายามหันหน้าจอให้มีแสงจ้าๆ สะท้อนเข้าตาเรา เช่น วางจอไว้ใกล้หน้าต่างตอนกลางวัน หรือตั้งโคมไฟไว้ใกล้ๆ หน้าจอ เพราะแสงที่สะท้อนออกมาจากจอคอมพิวเตอร์สามารถทำให้ดวงตาของเราเมื่อยล้าได้ง่ายๆ สมใจค่ะ

     วิธีที่ 3 จ้องจอนานๆ พยายามจ้องจอคอมพิวเตอร์ให้มากกว่าครั้งละ 30 นาที ถ้าเริ่มรู้สึกปวดตาเมื่อไหร่แสดงว่าใช้ได้แล้ว เพราะนั่นหมายถึงดวงตาเริ่มล้าแล้ว ทำบ่อยๆ คุณภาพตาจะแย่ลงเรื่อยๆ ถ้าไม่กระพริบตาเลยจะยิ่งดี เพราะจะทำให้ตาแห้ง แล้วก็แสบตาในที่สุด ส่วนแผนกระจกกรองแสงถ้ามีก็ถอดออกเสีย เพราะจะเป็นการกรองรังสีจากจอ ดวงตาจะปลอดภัยเกินไปค่ะ

     วิธีที่ 4 นั่งให้ผิดท่า ชุดเก้าอี้และโต๊ะที่ใช้ถ้าหาแบบที่ต่างระดับกันได้มากๆ จะทำให้ท่านั่งผิดสุขลักษณะ ซึ่งจะส่งผลเสียโดยตรงต่อกล้ามเนื้อกับกระดูกที่แขน ไหล่ หลัง และคอ และเราสามารถเพิ่มระดับความอักเสบของกล้ามเนื้อให้มากขึ้นด้วยการนั่งที่ผิดท่า นั่นก็คือเวลาใช้คอมพิวเตอร์อย่านั่งหลังตรง ให้นั่งค้อมไปข้างหน้าบ้าง แอ่นไปข้างหลังบ้าง

     วิธีที่ 5 วางคีย์บอร์ดให้ผิดทาง เวลาพิมพ์งานลองหามุมวางคีย์บอร์ดแล้วทำให้ต้องวางมือยากๆ ควรวางข้อมือบนโต๊ะหน้าคีย์บอร์ดถ้าหากจำเป็น การพิมพ์ก็ให้กดแป้นพิมพ์ควรกดแป้นพิมพ์แรงๆ เพราะเมื่อทำต่อเนื่องไปนานๆ จะเมื่อยและเจ็บนิ้ว และยังของแถมคือคีย์บอร์ดจะเจ๊งเร็วขึ้น เก้าอี้ที่ใช้ให้เลือกใช้แบบที่ไม่มีที่ให้วางแขน เพื่อที่แขนจะได้เกร็ง เมื่อเกร็งมากๆ ก็จะเมื่อยแขน ปวดไหล่ ปวดนิ้ว ลามไปถึงคอและหลังได้ด้วย

     วิธีที่ 6 กินขนมหน้าคอมฯ ให้หาขนมมากินขณะที่ใช้คอมพิวเตอร์ไปด้วย เพราะมีโอกาสที่เศษขนมหรือเกล็ดน้ำตาลจะหล่นลงไปในแป้นคีย์บอร์ด แล้วกลายเป็นอาหารของแบคทีเรีย ซึ่งถ้าเราใช้คีย์บอร์ดสลับกับกินขนมครั้งแบบนี้อีก เราอาจจะโชคดีได้ท้องเสีย เพราะ นิ้วของเราย่ำยีอยู่กับแหล่งเพาะเชื้อตลอดเวลานั่นเอง

     วิธีที่ 7 แช่แข็งตัวเองอยู่หน้าจอ พยายามหาเรื่องอะไรมาทำให้ตัวเองเพลินๆ จะได้นั่งอยู่หน้าเครื่องนานๆ จะได้ลืมให้หมดว่าการที่ไม่เปลี่ยนอิริยาบถนานๆ จะทำให้กล้ามเนื้อส่วนต่างๆ เครียดจนเมื่อยจนปวด จะได้ลืมว่าควรกินน้ำชั่วโมงละ 1 แก้ว จะได้ลืมว่าถ้าปวดฉี่แล้วไม่ยอมไปห้องน้ำจะทำให้กระเพาะปัสสาวะอักเสบ

         แค่คุณทำตาม 7 วิธีนี้ก็เชื่อว่าสุขภาพคุณคงจะย่ำแย่ลงได้บ้างล่ะค่ะ ถ้าอยากเจ็บป่วยแบบไหนก็เลือกกันตามอัธยาศัยเลยค่ะ เมื่อสุขภาพแย่ลงการทำงานก็จะแย่ลงไปด้วย และในที่สุดชีวิตคุณก็จะอับเฉาลงเรื่อยๆ ด้วย 7 วิธีนี้เราหวังว่าคุณจะสมหวังค่ะ แต่ถ้าจะให้ดีที่สุดสำหรับตัวเองแล้ว ไม่ทำ อย่าง 7 ข้อข้างต้นดีที่สุด

8 วิธีอ่านหนังสือสอบได้อย่างเซียน

เมื่อ ลองย้อนเวลากลับไปในสมัยที่เรียนอยู่ ช่วงเวลาที่น่าเบื่อที่สุดคือ ช่วงเวลาแห่งการท่องตำราสอบ ไม่ว่าจะเรียนอยู่ในระดับไหนก็หลีกเลี่ยงการท่องตำราสอบกันไม่ได้ทั้งนั้น เคยเป็นไหมที่รู้สึกว่า อยากให้มีเวลาเยอะกว่านี้ เพื่อจะได้อ่านหนังสือสอบให้ทัน วันนี้เราจึงรวบรวมเทคนิคการอ่านให้ได้ประสิทธิภาพ ที่คิดว่าพอจะแก้ปัญหาเกี่ยวกับการอ่านมานำเสนอ ดังนี้
1. หัดให้ตัวเองมีวินัยให้ได้ คือ ถ้าเราวางแผนว่าจะอ่านหนังสือให้ได้เท่านี้สำหรับวันนี้ เราก็ต้องทำให้ได้ วิธีฝึกเริ่มแรกให้กำหนดง่ายๆ ก่อนว่า วันนี้เราจะอ่านตำราแค่ 1 บท หรือ 10 หน้า เป็นต้น เอาแค่นี้ให้ได้ ถ้าอ่านจบเร็วก็ไปทำอย่างอื่น พอวันต่อๆ ไปก็ค่อยๆ เพิ่มปริมาณขึ้นตามสมควร แล้วก็ต้องอ่านให้ได้ตามเป้าหมาย เมื่อเราอ่านได้ตามเป้าแล้วในแต่ละครั้งก็อย่าลืมให้รางวัลตัวเองด้วยทุก ครั้ง โดยรางวัลก็อาจจะเป็นอะไรง่ายๆ เช่น ได้ดูละครหนึ่งเรื่องตอนกลางคืน เป็นต้น
2. วางแผนการอ่านหนังสือ เมื่อเรามีวินัยและเคารพการวางแผนของตัวเองแล้ว ต่อไปก็ต้อง วางแผนการอ่านหนังสือ การวางแผนที่ดีนั้นสำคัญมาก เพราะทำให้เราเดินไปถูกทิศทาง การวางแผนไม่ถือเป็นการเสียเวลา แต่เป็นการประหยัดเวลาในระยะยาว เพราะไม่ต้องไปเสียเวลาเดินผิดทาง
3. อย่าตะบี้ตะบันอ่านเกินควร อย่าคิดว่าตัวเองเป็น superman คือ สามารถอ่านหนังสือได้เยอะเกินกำลังภายในเวลาอันสั้น อย่าวางตารางการอ่านให้แน่นเกินไป เพราะนอกจากจะทำไม่ได้ตามแผนอยู่แล้ว ยังทำให้ตัวเองเครียดเพราะแผนนั้นโดยไม่จำเป็นด้วย แรกๆ อาจจะกะความสามารถตัวเองยากหน่อย หรือการอ่านตำราภาษาอังกฤษกับภาษาไทยก็ใช้ระยะเวลาการอ่านไม่เท่ากัน ก็ใช้เก็บสถิติจากการอ่านในรอบแรกๆ เช่น การอ่านภาษาอังกฤษ 1 หน้า เราใช้เวลา 10 นาที เราก็จะประมาณถูกว่าต้องใช้เวลาเท่าไรจึงจะอ่านจบบทหรือจบวิชา เป็นต้น
4. หาที่อ่านที่สงบเงียบและนั่งสบาย ส่วนบรรยากาศก็แล้วแต่คนชอบ บางคนชอบอ่านที่บ้าน ในห้องสมุด ในสวนมีต้นไม้เขียวๆ หรือในร้านกาแฟ หรือบางทีเราก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ แต่ควรไม่อยู่ใกล้ทีวี หรือสิ่งต่างๆ ที่ทำให้เราเสียสมาธิ เพราะทำให้เราเสียเวลาในการอ่าน และทำให้จำได้ไม่ดีด้วย แต่ก็ทราบมาว่าบางคนจะชอบให้มีเสียงเพลงหรือเสียงอื่นๆ เวลาอ่านหนังสือด้วย อันนี้ก็แล้วแต่ความชอบ
5. อย่าให้สิ่งใดมารบกวนการอ่าน เวลาอ่านหนังสือ เราควรกำหนดว่า เวลานี้เราจะตั้งใจ และไม่ปล่อยให้อะไรมาขัดโดยไม่จำเป็น เช่น อาจจะปิดเสียงโทรศัพท์มือถือ เป็นต้น คนอื่นก็จะไม่มารบกวนโดยไม่จำเป็น การได้ทำงานหรืออ่านหนังสือเป็นช่วงเวลาติดต่อกันอย่างนี้มีประสิทธิภาพกว่า การอ่านที่ถูกหยุดด้วยสิ่งต่างๆ
6. พักผ่อนสมองบ้าง เมื่ออ่านหนังสือไปนานๆ เราก็จะเริ่มล้า ทั้งสมองที่ต้องคิด ทั้งร่างกายที่ไม่ได้ขยับ ทั้งสายตาที่ต้องจ้องอยู่นาน เราก็ควรกำหนดเวลาพัก อันนี้ก็แล้วแต่คนชอบ อาจจะพักอ่านหนังสือทุกๆ ชั่วโมงหรือ 2 ชั่วโมง โดยออกไปเดินยืดเส้นยืดสาย ดื่มน้ำ ทานขนม หรือไปมองต้นไม้เขียวๆ เวลาพักก็ต้องกำหนดด้วยว่า 5 นาที หรือ 15 นาที เป็นต้น
7. ชอบขีดเส้นหรือเน้นข้อความที่สำคัญในหนังสือโดยไม่หวงหนังสือว่าจะดูเลอะเทอะเลย เพราะชอบเวลากลับมาอ่านทวน เราก็จะรู้ว่าจุดไหนเป็นข้อมูลสำคัญ เรายังสามารถใช้ทบทวนก่อนสอบได้ด้วย สำหรับคนที่ชอบหนังสือใหม่ๆ เกลี้ยงๆ ก็อาจจะต้องหาสมุดกับปากกามาจดสิ่งที่สำคัญจากหนังสือนั้นๆ เพื่อการอ่านทบทวนได้
8. พยายามจัดเวลาอ่านหนังสือในช่วงเวลาที่เราตื่นตัวที่สุด อันนี้แตกต่างกันไป บางคนจะจำได้ดีถ้าอ่านตอนเช้า บางคนเป็นตอนเย็น ก็ต้องสังเกตตัวเองดู ถ้าทราบแล้วอาจจะกำหนดเป็นเวลาประจำทุกวัน เช่น ทุกวันเวลา 2 ทุ่ม - 5 ทุ่ม เราต้องอ่านตำราทบทวนที่เรียนมา เป็นต้น
อย่าลืมทบทวนตำราเรียนทุกวันนะคะ แล้วเอาเทคนิคทั้ง 8 ไปใช้ดู เผื่อประสิทธิภาพในการอ่านจะทำให้เกรดภาคเรียนต่อไปดีขึ้นทันตาก็ได้

วันอังคารที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ครูที่ดี


       คนใจแคบเท่านั้นคิดว่าครูคือแม่พิมพ์ครูคือผู้ให้คำตอบที่ศิษย์ต้องการครูที่ดีชี้และช่วยให้ศิษย์รู้จักตัวของศิษย์ความรู้ทางวิชาการทั้งสิ้นนั้นเป็นเพียงสื่อที่จะนำไปถึงเป้าหมายนี้เท่านั้นเพื่อการพัฒนาชีวิตของศิษย์แล้วครูไม่ควรข่มขู่และหลอกล่อเพื่อให้ศิษย์หวาดกลัวและลุ่มหลงตัวครูไม่ใช่ปูชนียบุคคลความเป็นปูชนียบุคคลของครูเกิดอยู่ในการกระทำที่ชอบธรรมของครูใช่แต่ศิษย์เท่านั้นที่ต้องเคารพครู  ครูที่ดีก็ต้องเคารพศิษย์ด้วยจริงใจ....