วันอังคารที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2555
10 เครื่องดื่มที่มีประโยชน์ที่สุดในโลก
นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแองเจลิส จัดอันดับ 10 เครื่องดื่มที่มีประโยชน์ที่สุดในโลก โดยดูที่ระดับสาร แอนติออกซิแดนต์ หรือสารต้านอนุมูลอิสระ
ปัจจุบันมีเครื่องดื่มหลายชนิดอ้างว่า ใส่สารต้านอนุมูลอิสระไว้ แต่หลายคนไม่ทราบว่าสารนี้คืออะไรกันแน่ สำหรับสารต้านอนุมูลอิสระ มีประโยชน์เนื่องมาจากในขบวนการปฏิกิริยาชีวเคมี ที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย จะมีการขับของเสียที่ร่างกายได้รับ ได้แก่ ควันบุหรี่ แอลกอฮอล์ รังสียูวี เอกซเรย์
ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นอนุมูลอิสระที่มีอันตรายต่อเซลล์ในร่างกาย ที่อาจส่งผลให้เกิดโรคมะเร็ง โรคหัวใจ ภาวะข้อต่ออักเสบ ต้อกระจก และการเสื่อมของอวัยวะต่างๆ อนุมูลอิสระจะทำลายเนื้อเยื่อเซลล์ เปลี่ยนแปลงโครงสร้างของดีเอ็นเอ
ด้วยเหตุ นี้จึงเป็นการเพิ่มความเสี่ยงของการมีเซลล์มะเร็ง และทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีที่นำไปสู่ขบวนการเกิดโรคมะเร็ง
สำหรับ 10 อันดับเครื่องดื่มที่มีประโยชน์มากที่สุด คือ
1. น้ำทับทิม
2. ไวน์แดง
3. น้ำองุ่นคอนคอร์ด
4. น้ำบลูเบอร์รี่
5. น้ำแบล็กเชอร์รี่
6. น้ำอะซาอี
7. น้ำแครนเบอร์รี่
8. น้ำส้ม
9. น้ำชา
10. น้ำแอปเปิ้ล - ปราฟดา
สำหรับ 10 อันดับเครื่องดื่มที่มีประโยชน์มากที่สุด คือ
1. น้ำทับทิม
2. ไวน์แดง
3. น้ำองุ่นคอนคอร์ด
4. น้ำบลูเบอร์รี่
5. น้ำแบล็กเชอร์รี่
6. น้ำอะซาอี
7. น้ำแครนเบอร์รี่
8. น้ำส้ม
9. น้ำชา
10. น้ำแอปเปิ้ล - ปราฟดา
วันพุธที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2555
7 วิธีใช้คอมฯ แบบทำร้ายตัวเอง
|
8 วิธีอ่านหนังสือสอบได้อย่างเซียน
เมื่อ ลองย้อนเวลากลับไปในสมัยที่เรียนอยู่ ช่วงเวลาที่น่าเบื่อที่สุดคือ ช่วงเวลาแห่งการท่องตำราสอบ ไม่ว่าจะเรียนอยู่ในระดับไหนก็หลีกเลี่ยงการท่องตำราสอบกันไม่ได้ทั้งนั้น เคยเป็นไหมที่รู้สึกว่า อยากให้มีเวลาเยอะกว่านี้ เพื่อจะได้อ่านหนังสือสอบให้ทัน วันนี้เราจึงรวบรวมเทคนิคการอ่านให้ได้ประสิทธิภาพ ที่คิดว่าพอจะแก้ปัญหาเกี่ยวกับการอ่านมานำเสนอ ดังนี้
1. หัดให้ตัวเองมีวินัยให้ได้ คือ ถ้าเราวางแผนว่าจะอ่านหนังสือให้ได้เท่านี้สำหรับวันนี้ เราก็ต้องทำให้ได้ วิธีฝึกเริ่มแรกให้กำหนดง่ายๆ ก่อนว่า วันนี้เราจะอ่านตำราแค่ 1 บท หรือ 10 หน้า เป็นต้น เอาแค่นี้ให้ได้ ถ้าอ่านจบเร็วก็ไปทำอย่างอื่น พอวันต่อๆ ไปก็ค่อยๆ เพิ่มปริมาณขึ้นตามสมควร แล้วก็ต้องอ่านให้ได้ตามเป้าหมาย เมื่อเราอ่านได้ตามเป้าแล้วในแต่ละครั้งก็อย่าลืมให้รางวัลตัวเองด้วยทุก ครั้ง โดยรางวัลก็อาจจะเป็นอะไรง่ายๆ เช่น ได้ดูละครหนึ่งเรื่องตอนกลางคืน เป็นต้น
2. วางแผนการอ่านหนังสือ เมื่อเรามีวินัยและเคารพการวางแผนของตัวเองแล้ว ต่อไปก็ต้อง วางแผนการอ่านหนังสือ การวางแผนที่ดีนั้นสำคัญมาก เพราะทำให้เราเดินไปถูกทิศทาง การวางแผนไม่ถือเป็นการเสียเวลา แต่เป็นการประหยัดเวลาในระยะยาว เพราะไม่ต้องไปเสียเวลาเดินผิดทาง
3. อย่าตะบี้ตะบันอ่านเกินควร อย่าคิดว่าตัวเองเป็น superman คือ สามารถอ่านหนังสือได้เยอะเกินกำลังภายในเวลาอันสั้น อย่าวางตารางการอ่านให้แน่นเกินไป เพราะนอกจากจะทำไม่ได้ตามแผนอยู่แล้ว ยังทำให้ตัวเองเครียดเพราะแผนนั้นโดยไม่จำเป็นด้วย แรกๆ อาจจะกะความสามารถตัวเองยากหน่อย หรือการอ่านตำราภาษาอังกฤษกับภาษาไทยก็ใช้ระยะเวลาการอ่านไม่เท่ากัน ก็ใช้เก็บสถิติจากการอ่านในรอบแรกๆ เช่น การอ่านภาษาอังกฤษ 1 หน้า เราใช้เวลา 10 นาที เราก็จะประมาณถูกว่าต้องใช้เวลาเท่าไรจึงจะอ่านจบบทหรือจบวิชา เป็นต้น
4. หาที่อ่านที่สงบเงียบและนั่งสบาย ส่วนบรรยากาศก็แล้วแต่คนชอบ บางคนชอบอ่านที่บ้าน ในห้องสมุด ในสวนมีต้นไม้เขียวๆ หรือในร้านกาแฟ หรือบางทีเราก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ แต่ควรไม่อยู่ใกล้ทีวี หรือสิ่งต่างๆ ที่ทำให้เราเสียสมาธิ เพราะทำให้เราเสียเวลาในการอ่าน และทำให้จำได้ไม่ดีด้วย แต่ก็ทราบมาว่าบางคนจะชอบให้มีเสียงเพลงหรือเสียงอื่นๆ เวลาอ่านหนังสือด้วย อันนี้ก็แล้วแต่ความชอบ
5. อย่าให้สิ่งใดมารบกวนการอ่าน เวลาอ่านหนังสือ เราควรกำหนดว่า เวลานี้เราจะตั้งใจ และไม่ปล่อยให้อะไรมาขัดโดยไม่จำเป็น เช่น อาจจะปิดเสียงโทรศัพท์มือถือ เป็นต้น คนอื่นก็จะไม่มารบกวนโดยไม่จำเป็น การได้ทำงานหรืออ่านหนังสือเป็นช่วงเวลาติดต่อกันอย่างนี้มีประสิทธิภาพกว่า การอ่านที่ถูกหยุดด้วยสิ่งต่างๆ
6. พักผ่อนสมองบ้าง เมื่ออ่านหนังสือไปนานๆ เราก็จะเริ่มล้า ทั้งสมองที่ต้องคิด ทั้งร่างกายที่ไม่ได้ขยับ ทั้งสายตาที่ต้องจ้องอยู่นาน เราก็ควรกำหนดเวลาพัก อันนี้ก็แล้วแต่คนชอบ อาจจะพักอ่านหนังสือทุกๆ ชั่วโมงหรือ 2 ชั่วโมง โดยออกไปเดินยืดเส้นยืดสาย ดื่มน้ำ ทานขนม หรือไปมองต้นไม้เขียวๆ เวลาพักก็ต้องกำหนดด้วยว่า 5 นาที หรือ 15 นาที เป็นต้น
7. ชอบขีดเส้นหรือเน้นข้อความที่สำคัญในหนังสือโดยไม่หวงหนังสือว่าจะดูเลอะเทอะเลย เพราะชอบเวลากลับมาอ่านทวน เราก็จะรู้ว่าจุดไหนเป็นข้อมูลสำคัญ เรายังสามารถใช้ทบทวนก่อนสอบได้ด้วย สำหรับคนที่ชอบหนังสือใหม่ๆ เกลี้ยงๆ ก็อาจจะต้องหาสมุดกับปากกามาจดสิ่งที่สำคัญจากหนังสือนั้นๆ เพื่อการอ่านทบทวนได้
8. พยายามจัดเวลาอ่านหนังสือในช่วงเวลาที่เราตื่นตัวที่สุด อันนี้แตกต่างกันไป บางคนจะจำได้ดีถ้าอ่านตอนเช้า บางคนเป็นตอนเย็น ก็ต้องสังเกตตัวเองดู ถ้าทราบแล้วอาจจะกำหนดเป็นเวลาประจำทุกวัน เช่น ทุกวันเวลา 2 ทุ่ม - 5 ทุ่ม เราต้องอ่านตำราทบทวนที่เรียนมา เป็นต้น
อย่าลืมทบทวนตำราเรียนทุกวันนะคะ แล้วเอาเทคนิคทั้ง 8 ไปใช้ดู เผื่อประสิทธิภาพในการอ่านจะทำให้เกรดภาคเรียนต่อไปดีขึ้นทันตาก็ได้
1. หัดให้ตัวเองมีวินัยให้ได้ คือ ถ้าเราวางแผนว่าจะอ่านหนังสือให้ได้เท่านี้สำหรับวันนี้ เราก็ต้องทำให้ได้ วิธีฝึกเริ่มแรกให้กำหนดง่ายๆ ก่อนว่า วันนี้เราจะอ่านตำราแค่ 1 บท หรือ 10 หน้า เป็นต้น เอาแค่นี้ให้ได้ ถ้าอ่านจบเร็วก็ไปทำอย่างอื่น พอวันต่อๆ ไปก็ค่อยๆ เพิ่มปริมาณขึ้นตามสมควร แล้วก็ต้องอ่านให้ได้ตามเป้าหมาย เมื่อเราอ่านได้ตามเป้าแล้วในแต่ละครั้งก็อย่าลืมให้รางวัลตัวเองด้วยทุก ครั้ง โดยรางวัลก็อาจจะเป็นอะไรง่ายๆ เช่น ได้ดูละครหนึ่งเรื่องตอนกลางคืน เป็นต้น
2. วางแผนการอ่านหนังสือ เมื่อเรามีวินัยและเคารพการวางแผนของตัวเองแล้ว ต่อไปก็ต้อง วางแผนการอ่านหนังสือ การวางแผนที่ดีนั้นสำคัญมาก เพราะทำให้เราเดินไปถูกทิศทาง การวางแผนไม่ถือเป็นการเสียเวลา แต่เป็นการประหยัดเวลาในระยะยาว เพราะไม่ต้องไปเสียเวลาเดินผิดทาง
3. อย่าตะบี้ตะบันอ่านเกินควร อย่าคิดว่าตัวเองเป็น superman คือ สามารถอ่านหนังสือได้เยอะเกินกำลังภายในเวลาอันสั้น อย่าวางตารางการอ่านให้แน่นเกินไป เพราะนอกจากจะทำไม่ได้ตามแผนอยู่แล้ว ยังทำให้ตัวเองเครียดเพราะแผนนั้นโดยไม่จำเป็นด้วย แรกๆ อาจจะกะความสามารถตัวเองยากหน่อย หรือการอ่านตำราภาษาอังกฤษกับภาษาไทยก็ใช้ระยะเวลาการอ่านไม่เท่ากัน ก็ใช้เก็บสถิติจากการอ่านในรอบแรกๆ เช่น การอ่านภาษาอังกฤษ 1 หน้า เราใช้เวลา 10 นาที เราก็จะประมาณถูกว่าต้องใช้เวลาเท่าไรจึงจะอ่านจบบทหรือจบวิชา เป็นต้น
4. หาที่อ่านที่สงบเงียบและนั่งสบาย ส่วนบรรยากาศก็แล้วแต่คนชอบ บางคนชอบอ่านที่บ้าน ในห้องสมุด ในสวนมีต้นไม้เขียวๆ หรือในร้านกาแฟ หรือบางทีเราก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ แต่ควรไม่อยู่ใกล้ทีวี หรือสิ่งต่างๆ ที่ทำให้เราเสียสมาธิ เพราะทำให้เราเสียเวลาในการอ่าน และทำให้จำได้ไม่ดีด้วย แต่ก็ทราบมาว่าบางคนจะชอบให้มีเสียงเพลงหรือเสียงอื่นๆ เวลาอ่านหนังสือด้วย อันนี้ก็แล้วแต่ความชอบ
5. อย่าให้สิ่งใดมารบกวนการอ่าน เวลาอ่านหนังสือ เราควรกำหนดว่า เวลานี้เราจะตั้งใจ และไม่ปล่อยให้อะไรมาขัดโดยไม่จำเป็น เช่น อาจจะปิดเสียงโทรศัพท์มือถือ เป็นต้น คนอื่นก็จะไม่มารบกวนโดยไม่จำเป็น การได้ทำงานหรืออ่านหนังสือเป็นช่วงเวลาติดต่อกันอย่างนี้มีประสิทธิภาพกว่า การอ่านที่ถูกหยุดด้วยสิ่งต่างๆ
6. พักผ่อนสมองบ้าง เมื่ออ่านหนังสือไปนานๆ เราก็จะเริ่มล้า ทั้งสมองที่ต้องคิด ทั้งร่างกายที่ไม่ได้ขยับ ทั้งสายตาที่ต้องจ้องอยู่นาน เราก็ควรกำหนดเวลาพัก อันนี้ก็แล้วแต่คนชอบ อาจจะพักอ่านหนังสือทุกๆ ชั่วโมงหรือ 2 ชั่วโมง โดยออกไปเดินยืดเส้นยืดสาย ดื่มน้ำ ทานขนม หรือไปมองต้นไม้เขียวๆ เวลาพักก็ต้องกำหนดด้วยว่า 5 นาที หรือ 15 นาที เป็นต้น
7. ชอบขีดเส้นหรือเน้นข้อความที่สำคัญในหนังสือโดยไม่หวงหนังสือว่าจะดูเลอะเทอะเลย เพราะชอบเวลากลับมาอ่านทวน เราก็จะรู้ว่าจุดไหนเป็นข้อมูลสำคัญ เรายังสามารถใช้ทบทวนก่อนสอบได้ด้วย สำหรับคนที่ชอบหนังสือใหม่ๆ เกลี้ยงๆ ก็อาจจะต้องหาสมุดกับปากกามาจดสิ่งที่สำคัญจากหนังสือนั้นๆ เพื่อการอ่านทบทวนได้
8. พยายามจัดเวลาอ่านหนังสือในช่วงเวลาที่เราตื่นตัวที่สุด อันนี้แตกต่างกันไป บางคนจะจำได้ดีถ้าอ่านตอนเช้า บางคนเป็นตอนเย็น ก็ต้องสังเกตตัวเองดู ถ้าทราบแล้วอาจจะกำหนดเป็นเวลาประจำทุกวัน เช่น ทุกวันเวลา 2 ทุ่ม - 5 ทุ่ม เราต้องอ่านตำราทบทวนที่เรียนมา เป็นต้น
อย่าลืมทบทวนตำราเรียนทุกวันนะคะ แล้วเอาเทคนิคทั้ง 8 ไปใช้ดู เผื่อประสิทธิภาพในการอ่านจะทำให้เกรดภาคเรียนต่อไปดีขึ้นทันตาก็ได้
วันอังคารที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2555
ครูที่ดี
คนใจแคบเท่านั้นคิดว่าครูคือแม่พิมพ์ครูคือผู้ให้คำตอบที่ศิษย์ต้องการครูที่ดีชี้และช่วยให้ศิษย์รู้จักตัวของศิษย์ความรู้ทางวิชาการทั้งสิ้นนั้นเป็นเพียงสื่อที่จะนำไปถึงเป้าหมายนี้เท่านั้นเพื่อการพัฒนาชีวิตของศิษย์แล้วครูไม่ควรข่มขู่และหลอกล่อเพื่อให้ศิษย์หวาดกลัวและลุ่มหลงตัวครูไม่ใช่ปูชนียบุคคลความเป็นปูชนียบุคคลของครูเกิดอยู่ในการกระทำที่ชอบธรรมของครูใช่แต่ศิษย์เท่านั้นที่ต้องเคารพครู ครูที่ดีก็ต้องเคารพศิษย์ด้วยจริงใจ....
ใจเขาใจเรา
อยู่ในสังคมมนุษย์สิ่งที่ต้องระวังไม่ใช่มนุษย์เสมอไปใจที่เห็นแก่ตัวของเรานั่นแหละ
คือสิ่งที่ควรระมัดระวังให้มากเมื่อการกระทำต้องเกี่ยวพันกับผู้อื่นไม่ต้องเอาใครไปใส่ใจใครอย่าเอาเปรียบเขาก็พอเมื่อมิได้คำนึงถึงสวัสดิภาพของตนเองแต่ก็ต้องระมัดระวังสวัสดิภาพของผู้อื่นเราไม่โกรธ เราไม่กลัว เราไม่เจ็บแต่ผู้อื่นอาจจะโกรธ อาจจะเจ็บ และอาจจะกลัวถึงคราวที่จำเป็นต้องกระทำแล้วก็ลงมือกระทำด้วยสติปัญญาเถิดไม่ต้องมัวไปคำนึงถึงใจเรา ใจเขาหรือแม้แต่ใจใครทั้งสิ้น
ความไว้ใจ
มีเพื่อนรักอยู่ 3 คน คือ ความหวัง ความรัก และ ความไว้วางใจ
ความหวัง ได้บอกกับเพื่อนทั้ง 2 ว่า .... ถ้าหากฉันหายไป ....
เพียงพวกเธอใช้เวลาจุดไฟแห่งควา มหวังขึ้นมา ฉันก็จะกลับมา!!!!
ส่วนความรัก บอกกับเพื่อน ว่า .... ถ้าหากฉันหายไป ....
เธออาจต้องใช้เวลานานเพื่อ "รอ" ฉันสักสักหน่อย แล้วฉันจะกลับมา!!!
ส่วนความไว้ใจ บอกกับเพื่อนทั้ง 2 ว่า หากฉันหายไป.......
ไม่ต้องรอฉันนะ เพราะพวกเธอจะไม่มีวันได้พบฉันอีกเลย!!!!!
แม้ ความหวัง ความมุ่งมั่นมานะ จะหมดหรือดับไป........
คุณยังอาจจุดประกายแห่งความมุ่ง มั่นนั้นได้!!!! ---
ขอเพียงคุณมีแรงดลใจ
หรือ แม้คุณอกหักหรือผิดหวัง แต่ความรักก็ยังพร้อมจะเกิดขึ้น ใหม่
และเจริญงอกงามต่อไปได้เสมอ
แต่ .... "ความไว้วางใจ" นั้น ....
เป็นพื้นฐานของความสัมพันธ์ระหว ่างคุณกับบุคคลอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น
พ่อ แม่ ลูก คนรัก เพื่อน หัวหน้า หรือ ลูกน้อง ---
ถ้าหากคุณสูญเสียความไว้ใจที่มี ต่อบุคคลนั้นไป......
ความหวัง ได้บอกกับเพื่อนทั้ง 2 ว่า .... ถ้าหากฉันหายไป ....
เพียงพวกเธอใช้เวลาจุดไฟแห่งควา
ส่วนความรัก บอกกับเพื่อน ว่า .... ถ้าหากฉันหายไป ....
เธออาจต้องใช้เวลานานเพื่อ "รอ" ฉันสักสักหน่อย แล้วฉันจะกลับมา!!!
ส่วนความไว้ใจ บอกกับเพื่อนทั้ง 2 ว่า หากฉันหายไป.......
ไม่ต้องรอฉันนะ เพราะพวกเธอจะไม่มีวันได้พบฉันอีกเลย!!!!!
แม้ ความหวัง ความมุ่งมั่นมานะ จะหมดหรือดับไป........
คุณยังอาจจุดประกายแห่งความมุ่ง
ขอเพียงคุณมีแรงดลใจ
หรือ แม้คุณอกหักหรือผิดหวัง แต่ความรักก็ยังพร้อมจะเกิดขึ้น
และเจริญงอกงามต่อไปได้เสมอ
แต่ .... "ความไว้วางใจ" นั้น ....
เป็นพื้นฐานของความสัมพันธ์ระหว
พ่อ แม่ ลูก คนรัก เพื่อน หัวหน้า หรือ ลูกน้อง ---
ถ้าหากคุณสูญเสียความไว้ใจที่มี
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)